รู้หรือไม่? ลาเต้ 1 แก้ว ปล่อยคาร์บอนมากกว่ากาแฟดำถึง 3 เท่า

หลายคนอาจจะไม่เคยคิดว่า “กาแฟ” ที่เราดื่มทุกเช้า นอกจากจะช่วยให้ตาสว่างและสร้างความสุขเล็กๆ ในวันทำงานแล้ว ยังมี “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ซ่อนอยู่ด้วย

คำว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาตลอด “วัฏจักรชีวิต” ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตั้งแต่การเพาะปลูก การขนส่ง การผลิต การชง ไปจนถึงตอนที่เรายกแก้วขึ้นดื่ม

กาแฟแต่ละแบบปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่? จากการศึกษาและรายงานในหลายประเทศ พบว่า
☕ กาแฟดำ (อเมริกาโน่/เอสเพรสโซ่)
ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 0.25–0.30 กิโลกรัม CO₂e ต่อแก้ว (ประมาณแก้วขนาด 12 oz หรือ 355 มล.)
☕ ลาเต้ / คาปูชิโน่ (กาแฟใส่นมวัว)
ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 0.80–0.85 กิโลกรัม CO₂e ต่อแก้ว มากกว่ากาแฟดำเกือบ 3 เท่า!

ตัวการใหญ่ไม่ใช่กาแฟเอง แต่คือ นมวัว เพราะการผลิตนมเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงวัว การใช้ที่ดิน การปล่อยมีเทน และพลังงานต่าง ๆ ที่สร้างก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาล

🔍 ทำไมคาร์บอนถึงต่างกันมาก?
งานวิจัยจากมาเก๊า (ResearchGate, 2024) พบว่า
🔷 วัตถุดิบ (milk & coffee beans) เป็นสัดส่วนหลักของการปล่อยคาร์บอน
🔷 บรรจุภัณฑ์และแก้วใช้แล้วทิ้ง มีผลรองลงมา
🔷 กระบวนการชง/ใช้เครื่องชงกาแฟ มีส่วน แต่ไม่มากเท่ากับนมและแก้ว
รายงานจาก CDP (Carbon Disclosure Project) ยังยืนยันตรงกันว่า “นม” คือตัวแปรที่ทำให้ลาเต้หรือคาปูชิโน่ปล่อยคาร์บอนสูงกว่ากาแฟดำหลายเท่า

วิธีลดคาร์บอนจากกาแฟแบบง่ายๆ
✅เลือกเมนู
– ถ้าดื่มกาแฟดำ (Americano, Espresso) จะปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเมนูใส่นม
– ถ้าอยากใส่นม ลองเปลี่ยนเป็น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมโอ๊ต ซึ่งปล่อยก๊าซน้อยกว่านมวัวหลายเท่า
✅ใช้แก้วส่วนตัว
– การผลิตแก้วพลาสติกหรือแก้วกระดาษใช้แล้วทิ้ง สร้างคาร์บอนพอสมควร ถ้าเราใช้แก้วซ้ำได้ จะช่วย– – ลดของเสียและลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว
✅เลือกกาแฟที่มาจากการผลิตอย่างยั่งยืน
– เช่น กาแฟที่ได้รับการรับรอง Rainforest Alliance หรือ Fairtrade ซึ่งเน้นลดการใช้ปุ๋ยเคมี การจัดการทรัพยากรน้ำ และการปลูกที่ไม่ทำลายป่า
✅ลดการสิ้นเปลือง
– ไม่ชงหรือสั่งเกินความจำเป็น
– ปิดเครื่องชง/กาต้มน้ำเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อลดพลังงานที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์

🌱 มุมมองที่น่าสนใจ
ลองคิดดูง่าย ๆ ถ้าเราดื่ม ลาเต้ทุกวัน เท่ากับเราปล่อยคาร์บอน ราว 300 กิโลกรัม CO₂e ต่อปี
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น อเมริกาโน่ จำนวนเท่ากัน จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 100 กิโลกรัม CO₂e ต่อปี เท่านั้น

หมายความว่า… แค่ “เปลี่ยนเมนูกาแฟ” ก็สามารถช่วยลดคาร์บอนได้เป็นร้อยกิโลกรัมต่อปีโดยที่เราแทบไม่ต้องทำอะไรยากเลย

📺 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
▶️ https://youtu.be/yrlB7_vMwZQ?si=L0_bLQyzPHws5IMI

ติดต่อเราที่…
Facebook Page: Smart Greeny
เบอร์: 089-766-1445, 0971293242
chanon@smartgreeny.com
Website: bit.ly/2XgcFTu
Line OA: @smartgreeny หรือแอดเลย https://lin.ee/HqiVCVy
————————————————————————————-
#SmartGreeny #carbonfootprint #carbonfootprintforproduct #คาร์บอนฟุตพริ้นท์ #คำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ #ก๊าซเรือนกระจก #ภาวะโลกร้อน #CompactGreenOfficeSoftware #CarbonFootprintSoftware #EnvironmentalConsultant #CarbonForOrganization #บริษัทสีเขียว #ลดพลังงาน #สิ่งแวดล้อม #องค์กรสีเขียว #คาร์บอนเครดิต #CarbonCredit #โรงพิมพ์ #สิ่งพิมพ์

📌 ที่มา / แหล่งข้อมูล
– CDP (Carbon Disclosure Project): Brewing a sustainable future – the carbon footprint of your coffee 👉 https://shorturl.asia/GhikC

– ResearchGate: Reducing carbon footprint of typical coffee consumption from the whole lifecycle viewpoint (Macao study) 👉 https://shorturl.asia/l04iM

– ScienceDirect: Coffee’s carbon footprint: Insights from lifecycle assessments 👉 https://shorturl.asia/tXaHB

แสดงความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *